1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด
      
 มาตรฐาน
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
                    ว
2.3   .4/1 จำแนกวัตถุเป็นตัวกลางโปร่งใส ตัวกลางโปร่งแสง และวัตถุทึบแสง จากลักษณะ การมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ผ่านวัตถุนั้นเป็นเกณฑ์โดยใช้หลักฐาน
เชิงประจักษ์

2. สาระการเรียนรู้
     2.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง
                      เมื่อมองสิ่งต่าง ๆ โดยมีวัตถุต่างชนิดกันมากั้นแสง จะทำให้ลักษณะการมองเห็นสิ่งนั้น ๆ ชัดเจนต่างกัน จึงจำแนกวัตถุที่มากั้นออกเป็นตัวกลางโปร่งใส ซึ่งทำให้มองเห็น
สิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน ตัวกลางโปร่งแสงทำให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน และวัตถุทึบแสงทำให้มองไม่เห็นสิ่งต่าง ๆ นั้น

3. สาระสำคัญ
              
การหักเหของแสง หมายถึงการที่แสงเคลื่อนที่ผ่านตัวกลางหนึ่งไปยังอีกตัวกลางหนึ่งทำให้แนวลำแสงเกิดการเบี่ยงเบนจากแนวเดิมเช่น แสงผ่านจากอากาศไปยังน้ำ แสงผ่านจากกระจกไปยังอากาศ                
               การสะท้อนของแสง หมายถึงการที่แสงไปกระทบกับตัวกลางแล้วสะท้อนไปยังทิศทางอื่นหรือสะท้อนกลับทิศทางเดิม การสะท้อนของแสงนั้นขึ้นอยู่กับพื้นผิวของวัตถุด้วย
ว่าเรียบหรือหยาบ โดยทั่วไปพื้นผิวที่เรียบและมันจะทำให้มุมของแสงตกกระทบมีค่าเท่ากับมุมสะท้อน

คำแนะนำ 
           1. ศึกษาเนื้อหาวิชาตามหัวข้อต่าง ๆ  ในหน่วยการเรียนรู้ 
           2. ทำกิจกรรมการเรียนรู้จากกิจกรรมที่ 2.3

กิจกรรมที่ 2.3  ดาวน์โหลดใบงาน       
ฉลยกิจกรรมที่ 2.3   ดาวน์โหลดเฉลย

 
            การหักเหของแสง หมายถึง  การที่แสงเคลื่อนที่ผ่านตัวกลางหนึ่งไปยังอีกตัวกลางหนึ่งทำให้แนวลำแสงเกิดการเบี่ยงเบนจากแนวเดิมเช่น แสงผ่านจากอากาศไปยังน้ำ แสงผ่านจากกระจกไปยังอากาศ ดังรูป

ส่วนประกอบสำคัญของการหักเห

การเดินทางของแสงผ่านตัวกลาง

             รูปที่ 1 ตัวกลางที่ 1 และ 2 เป็นตัวกลางชนิดเดียวกัน แสงไม่มีการหักเห

             รูปที่ 2 แสงเดินทางจากตัวกลางที่ 1 ที่มีความหนาแน่นน้อยไปยังตัวกลางที่ 2 ที่มีความหนาแน่นมาก เช่น จากอากาศไปน้ำ รังสีหักเหจะเบนเข้าหาเส้นปกติ
ทำให้มุมตกกระทบโตกว่า
มุมหักเห

             รูปที่ 3 แสงเดินทางจากตัวกลางที่ 1 ที่มีความหนาแน่นมากไปยังตัวกลางที่ 2 ที่มีความหนาแน่นน้อยกว่า เช่น จากแท่งแก้วไปยังอากาศ รังสีหักเหจะเบนออกจากเส้นปกติ ทำให้มุมหักเหโตกว่ามุมตกกระทบ

             รูปที่ 4 แสงเดินทางตกกระทบผิวรอยต่อในแนวตั้งฉากจะเดินทางเป็นเส้นตรงทำให้มองไม่เห็นการหักเหของแสง

          การเดินทางของลำแสงที่ผ่านตัวกลางชนิดเดียวกันตลอดจะมีลักษณะเป็นเส้นตรง แต่ถ้าลำแสงเดินทางผ่านตัวกลางต่างชนิดกันที่มีความหนาแน่นต่างกัน   แสงจะเกิดการหักเห
ซึ่งเป็นไปตามกฎของการหักเห โดยมุมหักเหจะใหญ่หรือเล็กกว่ามุมตกกระทึบขึ้นอยู่กับสมบัติอย่างหนึ่งของตัวกลาง ที่เรียกว่า ดัชนีหักเห ซึ่งหาได้จากอัตราส่วนระหว่างอัตราเร็วของแสง
ในสูญญากาศ ต่ออัตราเร็วของแสงในตัวกลางใด ๆ  ถ้าลำแสงตกกระทบอยู่ในตัวกลางที่มีค่าดัชนีหักเหน้อยกว่ามุมหักเหที่ได้จะเล็กกว่ามุมตกกระทบ ในทำนองเดียวกันถ้าลำแสงตกกระทบ
อยู่ในตัวกลางที่มีค่าดัชนีหักเหมากกว่า มุมหักเหที่ได้จะโตกว่ามุกตกกระทบ

ตัวอย่างการใช้ประโยชน์ของการหักเหของแสงในชีวิตประจำวัน  เช่น

ตัวอย่างการทดลองของการหักเหของแสง

การสะท้อนแสง (Reflection)

          การสะท้อนของแสง   หมายถึง  การที่แสงไปกระทบกับตัวกลางแล้วสะท้อนไปยังทิศทางอื่นหรือสะท้อนกลับทิศทางเดิม การสะท้อนของแสงนั้นขึ้นอยู่กับพื้นผิวของวัตถุด้วยว่าเรียบหรือหยาบ โดยทั่วไปพื้นผิวที่เรียบและมันจะทำให้มุมของแสงตกกระทบมีค่าเท่ากับมุมสะท้อน การที่เรามองเห็นวัตถุต่าง ๆ  ได้ เพราะมีแสงจากวัตถุนั้นมาเข้าตาเรา ถ้าไม่มีแสงจากวัตถุมาเข้าตา จะเห็นวัตถุนั้นเป็นสีดำ
          รังสีของแสง เป็นเส้นที่แสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของแสง เขียนแทนด้วยเส้นตรงมีหัวลูกศร รังสีแสงแบ่งเป็น 3 แบบ  คือ รังสีขนาน รังสีลู่เข้า และรังสีลู่ออก

imbordercolor="#000000">

รังสีขนาน   รังสีลู่เข้า รังสีลู่ออก
รูป ก.การสะท้อนแสงบนวัตถุผิวเรียบ   รูป ข. การสะท้อนแสงผิวขุขระ

ตำแหน่งที่แสงตกกระทบกับแสงสะท้อนบนพื้นผิวจะเป็นตำแหน่งเดียวกันดังรูป ก. ลักษณะของวัตถุดังกล่าว เช่น กระจกเงาร้านอาหาร กระจกข้างรถยนต์ พื้นกระเบื้อง เป็นต้น

     แต่ถ้าหากวัตถุมีผิวหยาบแสงสะท้อนก็จะมีลักษณะกระจายกันดังรูป ข. เช่น ผนังฉาบปูนกระดาษขาว แผ่นฟรอยด์

กฎการสะท้อนแสง
    1. รังสีตกกระทบ เส้นปกติและรังสีสะท้อนยอมอยู่บนพื้นผิวระนาบเดียวกัน
    2. มุมในการตกกระทบย่อมโตเท่ากับมุมสะท้อน

ประโยชน์การสะท้อนของแสงบนกระจกเงา
   1. ใช้ส่องดูตัวเอง ภาพที่มองเห็นจะเป็นภาพเสมือนมีขนาดและระยะเท่ากับวัตถุ แต่กลับซ้ายเป็นขวากับวัตถุ ซึ่งเรียกว่า ปรัศวภาวิโลม
   2.   
ใช้ทำกล้องสลับลายหรือกล้องคาไลโดสโคป ซึ่งทำด้วยกระจกเงาราบยาว 3 แผ่น นำมาประกบทำมุมกัน 60 องศา ดังรูป เมื่อปิดทางด้านหนึ่งแล้วนำกระดาษสีใส่ลงไป
แล้วมองเข้าไปดูจะเห็นเป็นลวดลายสวยงามที่เกิดจากการสะท้อนของแสงภายในกล้อง

 กล้องสลับลายหรือกล้องคาไลโดสโคป

3. ใช้ทำกล้องดูแห่หรือกล้องเรือดำน้ำอย่างง่าย  (กล้องเพอริสโคป)  ประกอบด้วย กระจาเงาระนาบ 2 แผ่นวางทำมุม 45 องศา เพื่อช่วยในการสะท้อนแสง นำไปใช้ส่องดู
ขบวนแห่ในกรณีที่เรายืนอยู่ด้านหลัง แล้วมองไม่เห็นขบวนแห่

  กล้องดูแห่หรือกล้องเพอริสโคป

            4. การใช้กระจกเงาโค้ง (กระจกนูน) ติดข้างรถยนต์เพื่อให้มองเห็นภาพจากด้านหลังให้ได้มุมกว้างกว่าปกติ
            5. การใช้กระจกนูนติดไว้ในห้างสรรพสินค้าหรือบริเวณริมถนนซึ่งเป็นทางแยก
            6. การใช้กระจกเว้าของทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันคนไข้